ชายแดนขานรับร่างทรง‘ซูจี’ เอกชนลุ้นครม.เศรษฐกิจเมียนมาพลิกโฉมการค้า-ลงทุนอาเซียนโต
เอกชนชายแดนไทย-เมียนมา ขานรับ “อู ถิ่น จอ” ร่างทรง “ซูจี” คาดสร้างเชื่อมั่นพลิกโฉมการลงทุน/ค้าชายแดน/ท่องเที่ยวในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนโต ฟากเชียงรายขอดูครม.เศรษฐกิจใหม่ตัวแปรสำคัญกำหนดทิศทางอนาคต จ.ตากเผยเป็นที่ยอมรับนานาชาติมากกว่ารัฐบาลชุดก่อน ส่วนระนองย้ำเป็นสัญญาณบวกและกาญจนบุรี มั่นใจส่งออกพุ่งเท่าตัว
ความคืบหน้าในการเลือกประธานาธิบดีเมียนมา ที่ผลสรุปได้ นาย อู ถิ่น จอ จากพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ภายใต้การสนับสนุนของนางอองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมานั้น นับเป็นจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของเมียนมาต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนกับเพื่อนบ้าน ในจังหวะที่ก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ต่อเรื่องนี้ นางสาวผกายมาศ เวียร์รา ประธานคณะกรรมการสาขาเชียงราย สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในจังหวัดท่าขี้เหล็ก เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การเลือกนายอู ถิ่น จอ ถือว่า เป็นไปตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ แต่เนื่องจากตำแหน่งประธานาธิบดีของเมียนมา ไม่ได้มีส่วนโดยตรงกับการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจะขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมีการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารราชการแผ่นดินมากกว่า คงต้องรอให้เห็นโฉมหน้า ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลเมียนมาก่อน อย่างไรก็ตามน่าจะเป็นไปตามนโยบาย พลิกโฉมเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง ที่พรรค NLD ได้หาเสียงไว้
ส่วนการค้าชายแดนกับเมียนมา ที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สายเป็นการค้าที่มีมานาน ผู้ประกอบการของ 2 ชาติมีมิติของความผูกพันหรือคอนเนกชันส่วนตัว ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไร ก็ยังเชื่อว่าการค้าชายแดนน่าจะเดินหน้าไปได้ ตามดีมานด์ซัพพลายที่มีอยู่จริง ในระยะสั้นจึงมองว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แบบก้าวกระโดด แต่ว่าโดยมิติของประชาคมอาเซียนเชื่อว่าอุปสรรคทางการค้าของประเทศในอาเซียนจะค่อยๆ ถูกกำจัดออกไป อนาคตการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ขณะที่นายชัยวัฒน์ วิทิตธรรมวงศ์ ประธานสภาอาวุโส สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตากปฏิบัติหน้าที่ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เชื่อมั่นว่าผู้นำคนใหม่ของเมียนมา ภายใต้การสนับสนุนของนางอองซาน ซูจี จะสามารถนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติมากขึ้นกว่ารัฐบาลชุดก่อน และจะสร้างเศรษฐกิจการค้า-การลงทุน ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ให้เติบโตขึ้นและนับเป็นจุดที่เหมาะสมและเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี และนับจากนี้ไป ผู้นำเมียนมากับรัฐบาลชุดใหม่จะสร้างและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน เพิ่มการลงทุนและขยายตลาดการค้า-การลงทุนในกลุ่มภูมิภาคเอเซียน
ภายหลังเมียนมาได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ นางสุดาพร ยอดพินิจ ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง ประเมินว่า ถือเป็นข่าวดีที่ทุกฝ่ายรอคอยมานาน อีกทั้งพัฒนาการที่เกิดขึ้นในเมียนมานับเป็นการสร้างความพร้อมมานาน ก่อนจะมีการเปลี่ยนผ่านจากยุคทหารมาเป็นยุคพลเรือน โดยไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายใดๆ เพราะรัฐบาลทหารเมียนมาได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ประชาชนมีความเข้าใจและมีความพร้อมที่จะเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนผ่านการปกครอง ดังนั้นนับจากนี้ต่อไปจะเห็นการพัฒนาที่จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่งของโลก กระแสการลงทุนต่างๆจากทั่วมุมโลกจะพุ่งตรงเข้าไปในเมียนมา ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของผู้ประกอบการจากไทยที่จะเร่งเข้าไปสร้างฐานได้อย่างมั่นใจไม่เหมือนในอดีต ที่กลัวนโยบายที่ไม่แน่นอนของรัฐบาลทหาร และขณะนี้จะเห็นได้ชัดถึงสัญญาณทางบวกทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวที่มีความคึกคักเป็นอย่างมาก
ภายหลังการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปรากฏว่า มีการขยายตัวด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวคึกคักมากขึ้นในประเทศเมียนมา มีนักลงทุน ผู้ประกอบการจากหลายชาติเข้าไปลงทุน ส่งผลให้เกิดโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้า การลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งโรงแรม อาคารพาณิชย์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของทางการทั้งระบบประปา ไฟฟ้า และถนน ทำให้ขณะนี้ต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบประเภทก่อสร้างทั้งปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น จากประเทศไทยเข้าไปรองรับการขยายตัวของโครงการก่อสร้างต่างๆ คาดว่าในปีนี้จะต้องนำเข้าสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว สำหรับสภาวะและสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-เมียนมาในช่วงปี 2558 จนถึงต้นปี 2559 อยู่ในสภาวะที่ดีมาก สินค้าหลายกลุ่มมีอัตราการขยายตัวสูงโดยเฉพาะกลุ่มอาหาร สินค้าอุปโภค-บริโภค รวมถึงสินค้าในหมวดก่อสร้างมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30%
ด้านนายปัญญา วุฒิประจักษ์ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี สะท้อนว่า แนวชายแดนที่เชื่อมกับเมียนมาเริ่มมีความหวังมากขึ้นโดยเฉพาะจังหวัดกาญจนบุรีบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ ที่ถูกทหารเมียนมาสั่งปิดนาน 3เดือน ส่งผลให้การค้าลดลงเหลือ 100 ล้านบาทต่อเดือนจากเดิมที่มีมูลค่าสูงกว่านี้ อย่างไรก็ดีเชื่อว่ารัฐบาลใหม่น่าจะช่วยปลดล็อกให้เปิดด่านได้ พร้อมทั้งจัดระเบียบการค้าใหม่ คาดว่าจะช่วยให้มีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 200-300 ล้านบาท หรือกว่าเท่าตัวต่อเดือน
ที่สำคัญ รัฐบาลชุดใหม่จะเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากแก้ปัญหาความยากจนและลดความขัดแย้งในกลุ่มชาติพันธุ์ คือเร่งลงทุนเส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมกับไทย ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางจากด่านเจดีย์สามองค์-เมาะละแหม่ง และโครงการก่อสร้างทางจากพุน้ำร้อน-ทวาย หากแล้วเสร็จ ประเมินว่ามูลค่าการค้าของไทยจะเพิ่มขึ้น กว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 3,141 วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559
http://www.thansettakij.com/2016/03/23/39018